"The Day After Tomorrow" หรือชื่่อในแบบพี่ไทยเรียกว่า "วิกฤติวันสิ้นโลก" ของผู้กำกับโรแลนด์ เอ็มเมอริค เป็นหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับภัยพิบัติของโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งหนังเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างเก่าเพราะออกฉายตั้งแต่ปี 2004 แล้วค่ะ แต่ไม่ว่าจะหยิบมาดูทีไรก็ยังสามารถสร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจไปกับฉากอันแสนอลังการและสมจริงไปทุกครั้ง ต้องยอมรับว่าทีมงานสร้างหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ลงทุนและดีมากๆเลยทีเดียว (ไม่ได้เว่อร์นะคะ ฮ่าๆๆๆ) โดยส่วนตัวเป็นคนชอบหนังประเภทภัยพิบัติ หรือออกแนววิทยาศาสตร์ SCI-FI อยู่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Independence Day (ID4) สงครามวันดับโลก เรื่องนี้เก่ามากๆ ตั้งแต่ปี 1996 ปีนี้ 2010 ก็ 14 ปีมาแล้วค่ะ *0*
Armageddon วันโลกาวินาศ
หรือจะเป็นหนังเรื่อง 2010 วันสิ้นโลก ที่เข้าฉายไปเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งสามารถทำรายได้ได้อย่างถล่มถลายกันเลยทีเดียว หนังประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีฉากลงทุนหลายฉาก ดูแล้วคุ้มค่ะ ฮ่าๆๆๆ
เอาล่ะค่ะ กลับมาที่เรื่อง "The Day After Tomorrow" กันต่อดีกว่าค่ะ หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ แจ็ค ฮอลล์ (เดนนิส เควด) ผู้เป็นนักกาลวิทยา ผลที่ได้จากการค้นคว้าของฮอลล์ระบุว่า สภาวะโลกร้อนอาจเป็นชนวนหายนะแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของภูมิอากาศโลก แกนน้ำแข็งที่เขาทำการเจาะในทวีปแอนตาร์กติกาบ่งว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน และในตอนนี้เขาได้ส่งคำเตือนไปยังหน่วยราชการ ว่ามันอาจเกิดขึ้นอีกครั้งหากไม่มีการดำเนินการโดยทันที แต่คำเตือนของเขามาถึงช้าเกินไป
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อฮอลล์ได้เจอกับก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับรัฐโร้ดไอส์แลนด์ ซึ่งแตกออกมาจากภูเขาน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ และจากนั้นคือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก ลูกเห็บขนาดใหญ่เท่าผลส้มโอตกกระหน่ำเมืองโตเกียว ลมพายุเฮอริเคนรุนแรงชนิดทำลายสถิติพัดเข้าสู่ฮาวาย หิมะตกที่เมืองนิวเดลี และจากนั้นพายุทอร์นาโดหลายลูกก็เข้ากวาดเมืองลอสแอนเจลิส
โทรศัพท์ที่เขาได้รับจากศาสตราจารย์แร็พสัน (เอียน โฮล์ม) เพื่อนร่วมงานในสก็อตแลนด์ ยืนยันให้กับความกลัวที่ร้ายแรงที่สุดของแจ็ค สภาวะอากาศรุนแรงเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วโลก น้ำแข็งที่ปกคลุมบนขั้วโลกได้ละลายและทำให้น้ำไหลทะลักลงสู่มหาสมุทร และรบกวนกระแสคลื่นซึ่งเป็นตัวสร้างสมดุลย์ของระบบภูมิอากาศของเรา สภาวะโลกร้อนได้ผลักดันให้โลกเฉียดเข้าไปใกล้กับยุคน้ำแข็งครั้งใหม่ และมันจะเกิดขึ้นในระหว่างที่พายุมหึมาลูกหนึ่งถล่มไปทั่วโลก
ในขณะที่แจ็คเตือนทำเนียบขาวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่กำลังคุกคามโลกนั้น แซม (เจค กิลเลนฮาล) ลูกชายวัย 17 ของเขาก็ติดอยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้ ในระหว่างที่เขาและเพื่อนๆ ไปร่วมแข่งขันด้านวิชาการระดับมัธยม และตอนนี้เขาต้องเผชิญกับอุทกภัยร้ายแรงและอุณหภูมิที่กำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็วในแมนฮัตตัน ต่อมาเมื่อได้ถูกอพยพเข้าไปอยู่ในหอสมุดสาธารณะแห่งแมนฮัตตัน แซมจึงสามารถติดต่อกับพ่อของเขาได้ทางโทรศัพท์ แจ็คมีเวลาที่จะเตือนลูกเพียงข้อเดียวเท่านั้น จงอยู่แต่ในอาคารไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ในขณะที่การอพยพประชากรครั้งใหญ่เพื่อมุ่งหน้าลงใต้เริ่มขึ้นนั้น แจ็คก็เดินทางขึ้นเหนือสู่นิวยอร์ค ซิตี้ เพื่อช่วยแซม แต่แม้แต่แจ็คก็ไม่ได้เตรียมตัวที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง กับลูกชายของเขา และกับโลกของเขา...
เนื้อเรื่องค่อนข้างน้ำเน่า พล็อตไม่ต่างอะไรจากเดิมมากนัก ทำให้พอจะเดาตอนจบออกได้ว่าสุดท้ายจะลงเอยแบบไหน คือตัวเอกของเรื่องตกอยู่ในสภาวะอันตราย เผชิญกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวต่างๆ มีเหตุการณ์ที่ทำให้คนในครอบครัว ซึ่งในที่นี้ก็คือพ่อกับลูกซึ่งในตอนแรกไม่เข้าใจกันเห็นถึงความรักความห่วงใย และเข้าใจกันในที่สุด^^ แต่อย่างที่บอกค่ะ ว่าสาเหตุที่ประทับใจหนังเรื่องนี้เป็นเพราะฉาก และความสมจริง และจริงๆหนังเรื่องนี้ยังช่วยสะท้อนแง่คิดดีๆให้กับคนดูหลายอย่างเช่น หนังได้นำเสนอถึงสาเหตุของปัญหาการเกิดภาวะโลกร้อน ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆตามมาก็คือมนุษย์เรานี่เองที่มีความโลภ และใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินความพอดี ทำให้ช่วยตระหนักและหันกลับมารักษาทรัพยากรธรรมชาติกันมากขึ้น หรือจะเป็นข้อคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ความรัก - จงทำดีกับคนที่คุณรักก่อนที่จะสายเกินไป
เอาล่ะค่ะ สุดท้ายนี้ก่อนจะจากกันไป ขอทิ้งท้ายด้วยตัวอย่างหนัง "The Day After Tomorrow" ไว้ก็แล้วกันนะคะ^^ รับรองว่าสนุกแน่นอนค่าาา
ขอขอบคุณเนื้อหาจาก